เมื่อปลายปี 2550 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ สน.ห้วยขวาง ให้ดำเนินคดีกับ พนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 คน ในข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และ บริษัทไร่ส้ม จำกัด ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในฐานะผู้สนับสนุนทำให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับ ความเสียหาย จากค่าโฆษณาเป็นเงิน กว่า 138 ล้านบาท
โดยที่ สน.ห้วยขวางได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อเดือนธันวาคม 2550
ผลที่สุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติส่งเรื่องให้อัยการ ส่งฟ้องต่อศาล ดำเนินคดีอาญา เจ้าหน้าที่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) อย่างน้อย 6 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีช่วยเหลือบริษัทไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญา โดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณาเกินเวลารวมเป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท
และนายสรยุทธ ได้ออกมาชี้แจงผ่านรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ว่า เขาพร้อมจะพิสูจน์และรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า บริษัทไร่ส้ม จำกัด ได้ชำระคืน อสมท ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น อสมท จึงไม่เกิดความเสียหายใด ๆ
ส่วนโฆษณาที่เกินโควตาของ อสมท ทางบริษัทไร่ส้มได้มี การตกลง ที่จะแบ่งค่าโฆษณาสัดส่วน 50 ต่อ 50 ซึ่งทาง อสมท ได้ปฏิเสธที่จะชำระให้ และในนามของบริษัทไร่ส้ม จำกัด ก็ได้ฟ้องขอพึ่ง ศาลปกครอง แล้ว
นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังวินิจฉัยว่า การออกเช็ค ของบริษัทไร่ส้มและมีนายสรยุทธลงนามถึง 6 ครั้ง ตามคำให้การของพนักงานธุรการของ อสมท รายหนึ่ง ถือว่าเป็นความผิด
และนายสรยุทธ กล่าวแต่ว่า ตนนั้นเป็นกรรมการของบริษัท เช็คทุกใบจึงมีอำนาจลงนามอยู่แล้ว และมีการจ่ายหักภาษี ณ ที่จ่ายครบถ้วน ยืนยันว่า ไม่มีการติดสินบนให้พนักงานระดับธุรการดังกล่าว
ฟังนายสรยุทธชี้แจงในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” แทนที่ความจะกระจ่างขึ้นกลับงงมากกว่าเดิม
เช่น เรื่องโฆษณาที่เกินโควตาของ อสมท ทางบริษัทไร่ส้มได้มีการตกลงที่จะแบ่งค่าโฆษณาสัดส่วน 50 ต่อ 50 ซึ่งทางบริษัท อสมท ได้ปฏิเสธที่จะชำระให้ นั่นหมายความว่าอะไร
เช่น นายสรยุทธ มีอำนาจลงนามในเช็คของบริษัทไร่ส้ม มัน เกี่ยวข้องอะไร กับการถูกกล่าวหาว่าติดสินบนเขา
น่าที่จะมีการสัมภาษณ์นายสรยุทธเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในรายการของตัวตอนเย็นเหมือนเช่นที่ตัวเคยสัมภาษณ์คนอื่นมามากแล้ว และหาคนกลางมานั่งเป็นผู้สัมภาษณ์
ณ เวลานี้ จึงถือได้ว่า นายสรยุทธ เป็นผู้มีตำหนิ แม้ตัวจะบอกว่า ตนนั้นไม่มีตำหนิ และคดีความยังไม่สิ้นสุด
เขา เป็นพิธีกรชื่อดัง เป็นที่รู้จักทั่วไปย่อมได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เขา เคยทำตัวเป็นผู้วิจารณ์คนอื่นมามาก เขาไม่ได้อ่านข่าวแค่อย่างเดียว เขา ถูกมองว่า เป็น เทพบุตร ในวงการข่าว เก่งฉกาจในทุกเรื่อง มีใจบุญสุนทาน ภาพลักษณ์ของเขาจึงเลอเลิศยิ่งกว่านักอ่านข่าวทั่ว ๆ ไป
มาถึงจุดนี้ นายสรยุทธจึงเดินทางมาถึง ทางสองแพร่ง จะ พักงาน เป็นผู้อ่านข่าวสักระยะหนึ่ง หรือ ยังดื้อดั้น อ่านต่อไปเรื่อย ๆ นั่นขึ้นอยู่กับว่า เขา มีความรับผิดชอบ มากน้อยขนาดไหนต่อสังคม
|